ในขั้นตอนนี้ คุณจะต้องระบุบัญชี Google Ads ที่จะใช้เรียก API ซึ่งจำเป็นต้องใช้อีเมลเพื่อสร้างโทเค็นการรีเฟรช OAuth 2.0 โดยบัญชีอาจเป็นบัญชีเวอร์ชันที่ใช้งานจริง (เวอร์ชันที่ใช้งานจริง) หรือบัญชีทดสอบก็ได้ แต่ละวิธีก็มี ทั้งข้อดีและข้อเสีย
บัญชีเวอร์ชันที่ใช้งานจริง |
บัญชีทดสอบ |
|
ข้อดี |
|
|
ข้อเสีย |
|
|
เราขอแนะนำให้ใช้บัญชีทดสอบขณะพัฒนาแอปพลิเคชันเมื่อเป็นไปได้ ดูวิธีการได้ที่สร้างบัญชีและแคมเปญทดสอบ
อีกวิธีหนึ่งคือการตั้งค่าบัญชีการใช้งานจริงที่มีงบประมาณบัญชีต่ำ เช่น $1/วัน สำหรับการทดสอบฟีเจอร์ที่บัญชีทดสอบไม่รองรับอย่างชัดเจน
ตัวเลือกชุดฟีเจอร์
เมื่อเลือกบัญชีสำหรับเรียก API สิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือรายการฟีเจอร์ที่คุณต้องการใช้กับ API แม้ว่าคุณจะเลือกใช้บัญชีเวอร์ชันที่ใช้งานจริง แต่ก็มีบางฟีเจอร์ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะบัญชี ตัวอย่างเช่น
- สำหรับฟีเจอร์การเรียกเก็บเงิน คุณต้องมีบัญชีที่ใช้การแจ้งหนี้รายเดือน
- ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างอาจจํากัดไว้เฉพาะรายชื่อบัญชีที่อนุญาต
ก่อนสรุปบัญชีเพื่อใช้การเรียก API ให้ตรวจสอบเอกสารของฟีเจอร์นั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าฟีเจอร์ไม่มีข้อจำกัดเพิ่มเติม
การเข้าถึงของผู้ใช้ รหัสลูกค้าสำหรับเข้าสู่ระบบ และรหัสลูกค้า
หากต้องการเรียก API ไปยังลูกค้า Google Ads คุณต้องมีสิทธิ์เข้าถึงลูกค้ารายนั้นโดยตรงหรือผ่านบัญชีดูแลจัดการที่ลิงก์ไว้ นอกจากนี้คุณต้องมีสิทธิ์ที่เหมาะสมด้วย โดยขึ้นอยู่กับการเรียก API นั้นๆ
เมื่อลงชื่อเข้าใช้ Google Ads คุณอาจมีบัญชีลูกค้ามากกว่า 1 บัญชีให้เลือก บัญชีที่คุณเลือกจะสร้างรหัสลูกค้าสำหรับเข้าสู่ระบบ ซึ่งเป็นส่วนหัวที่จำเป็นสำหรับการเรียก API บางรายการ และระดับการเข้าถึงของคุณ
หลังจากที่คุณระบุลูกค้า Google Ads ที่จะเรียกใช้ API แล้ว โปรดสังเกตรายละเอียดต่อไปนี้
รหัสลูกค้า 10 หลักของบัญชีลูกค้าที่คุณวางแผนจะทำการเรียก API บางครั้งเราเรียกลูกค้านี้ว่าลูกค้าที่ทำการดำเนินการ
อีเมลของบัญชีลูกค้าที่คุณลงชื่อเข้าใช้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างโทเค็นการรีเฟรช OAuth 2.0
รหัสลูกค้าสำหรับเข้าสู่ระบบ 10 หลักของบัญชีลูกค้าที่คุณลงชื่อเข้าใช้ หากคุณลงชื่อเข้าใช้ลูกค้าที่ดำเนินการแล้ว รหัสลูกค้าสำหรับเข้าสู่ระบบจะเป็นรหัสเดียวกับรหัสลูกค้า