ช่องค้นหาไซต์ลิงก์
ช่องค้นหาไซต์ลิงก์ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาภายในเว็บไซต์หรือแอปของคุณได้ทันทีในหน้าผลการค้นหา โดยช่องค้นหาจะใช้คำแนะนำแบบเรียลไทม์และฟีเจอร์อื่นๆ
Google Search อาจแสดงช่องค้นหาที่มีขอบเขตเฉพาะในเว็บไซต์ของคุณโดยอัตโนมัติเมื่อเว็บไซต์นั้นแสดงเป็นผลการค้นหาโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย ช่องค้นหานี้ขับเคลื่อนโดย Google Search อย่างไรก็ตาม คุณระบุข้อมูลอย่างชัดแจ้งได้โดยเพิ่มข้อมูลที่มีโครงสร้าง WebSite
ซึ่งจะช่วยให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
หาก Google Search แสดงช่องค้นหาไซต์ลิงก์สำหรับเว็บไซต์แล้ว คุณควบคุมลักษณะบางอย่างของช่องค้นหาไซต์ลิงก์ได้โดยเพิ่มข้อมูลที่มีโครงสร้าง WebSite
วิธีนำช่องค้นหาไซต์ลิงก์มาใช้งาน
ต่อไปนี้คือขั้นตอนในการทำให้เว็บไซต์มีสิทธิ์แสดงพร้อมกับช่องค้นหาในผลการค้นหาของ Google
- ติดตั้งเครื่องมือค้นหาที่ใช้งานได้ในเว็บไซต์หรือแอป Android ของคุณ
คำค้นหาไซต์ลิงก์จะส่งผู้ใช้ไปที่หน้าผลการค้นหาของเว็บไซต์หรือแอป คุณจึงต้องมีเครื่องมือค้นหาที่ใช้งานได้เพื่อขับเคลื่อนฟีเจอร์นี้
- เว็บไซต์: ตั้งค่าเครื่องมือค้นหาในเว็บไซต์ ฟีเจอร์นี้จะส่งต่อคำค้นหาของผู้ใช้ไปยังเป้าหมายของคุณโดยใช้ไวยากรณ์ที่ระบุไว้ในข้อมูลที่มีโครงสร้าง เครื่องมือค้นหาของคุณต้องรองรับคำค้นหาที่เข้ารหัสแบบ UTF-8
- แอป: ดูภาพรวมการค้นหาในเว็บไซต์สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Android เพื่อศึกษาวิธีใช้เครื่องมือค้นหาสำหรับแอปของคุณ แอป Android ต้องรองรับ Intent
ACTION_VIEW
จากผลการค้นหาของ Search โดยระบุ URI ข้อมูลที่สอดคล้องกันไว้ในพร็อพเพอร์ตี้potentialAction.target
ของมาร์กอัป
- ใช้เอลิเมนต์ข้อมูลที่มีโครงสร้าง
WebSite
ในหน้าแรกของเว็บไซต์ แอปต้องมีเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเพื่อเปิดใช้ฟีเจอร์นี้ แม้ว่าเว็บไซต์จะมีหน้าเว็บเพียงหน้าเดียว โดยมีหลักเกณฑ์เพิ่มเติมอีกไม่กี่ข้อดังต่อไปนี้- เพิ่มมาร์กอัปลงในหน้าแรกเท่านั้น ไม่ใช่หน้าอื่นๆ
- ระบุ
SearchAction
1 รายการสำหรับเว็บไซต์ทุกครั้ง และอาจเลือกระบุอีกรายการหนึ่งหากรองรับการค้นหาในแอป คุณต้องมีSearchAction
สำหรับเว็บไซต์ของคุณ แม้ว่าจะต้องการให้แอปเป็นเป้าหมายของการค้นหา วิธีนี้จะทำให้ผลการค้นหานำผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ดังกล่าวหากผู้ใช้ไม่ได้ค้นหาจากโทรศัพท์ Android หรือไม่ได้ติดตั้งแอป Android ของคุณไว้ - ดูตำแหน่งการแทรกข้อมูลที่มีโครงสร้างในหน้าเว็บตามรูปแบบที่คุณใช้อยู่
- ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
- ตรวจสอบความถูกต้องของโค้ดโดยใช้การทดสอบผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์
- ยืนยันการใช้เครื่องมือค้นหาโดยคัดลอก URL
WebSite.potentialAction.target
จากข้อมูลที่มีโครงสร้างโดยแทนที่{search_term_string}
ด้วยคำค้นหาทดสอบ และไปที่ URL ดังกล่าวในเว็บเบราว์เซอร์ เช่น หากเว็บไซต์ของคุณคือ example.com และคุณต้องการทดสอบคำค้นหา "kittens" ก็จะต้องไปที่https://www.example.com/search/?q=kittens
- ตั้งค่า Canonical URL ที่ต้องการสำหรับหน้าแรกของโดเมนโดยใช้เอลิเมนต์ของลิงก์
rel="canonical"
ในทุกรูปแบบของหน้าแรก วิธีนี้ช่วยให้ Google Search เลือก URL ที่ถูกต้องสำหรับมาร์กอัป เซิร์ฟเวอร์ต้องรองรับการเข้ารหัสอักขระ UTF-8 - สำหรับแอป ให้เปิดใช้ตัวกรอง Intent ที่เหมาะสมเพื่อรองรับ URL ที่คุณระบุในแอปที่เป็นเป้าหมายของมาร์กอัป ดูตัวอย่างวิธีสร้างตัวกรอง Intent สำหรับ URL ของ Google Search ได้ที่การจัดทำดัชนีแอป Firebase สำหรับ Android
- ทำให้บางหน้าใช้งานได้ซึ่งเป็นหน้าที่มีข้อมูลที่มีโครงสร้าง และใช้เครื่องมือตรวจสอบ URL เพื่อทดสอบว่า Google เห็นหน้าในลักษณะใด ตรวจสอบว่า Google เข้าถึงหน้าดังกล่าวได้และไม่มีการบล็อกหน้าด้วยไฟล์ robots.txt, แท็ก
noindex
หรือข้อกำหนดให้เข้าสู่ระบบ หากหน้าเว็บดูถูกต้องดีแล้ว ก็ขอให้ Google รวบรวมข้อมูล URL อีกครั้งได้ - หากต้องการให้ Google ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอยู่ตลอด เราขอแนะนำให้ส่งแผนผังเว็บไซต์ ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการแบบอัตโนมัติได้โดยใช้ Search Console Sitemap API
ตัวอย่าง
ต่อไปนี้คือตัวอย่างผลการค้นหาคำว่า "Pinterest" ใน Google ที่แสดงช่องค้นหาไซต์ลิงก์สำหรับเว็บไซต์ Pinterest
ตัวอย่างมาร์กอัปที่ใช้งานช่องค้นหาไซต์ลิงก์ซึ่งใช้เครื่องมือค้นหาที่กำหนดเองของเว็บไซต์
นี่คือตัวอย่างใน JSON-LD
<html> <head> <title>The title of the page</title> <script type="application/ld+json"> { "@context": "https://schema.org", "@type": "WebSite", "url": "https://www.example.com/", "potentialAction": { "@type": "SearchAction", "target": { "@type": "EntryPoint", "urlTemplate": "https://query.example.com/search?q={search_term_string}" }, "query-input": "required name=search_term_string" } } </script> </head> <body> </body> </html>
นี่คือตัวอย่างใน Microdata
<div itemscope itemtype="https://schema.org/WebSite"> <meta itemprop="url" content="https://www.example.com/"/> <form itemprop="potentialAction" itemscope itemtype="https://schema.org/SearchAction"> <meta itemprop="target" content="https://query.example.com/search?q={search_term_string}"/> <input itemprop="query-input" type="text" name="search_term_string" required/> <input type="submit"/> </form> </div>
นี่คือตัวอย่างเว็บไซต์และแอปใน JSON-LD
<html> <head> <title>The title of the page</title> <script type="application/ld+json"> { "@context": "https://schema.org", "@type": "WebSite", "url": "https://www.example.com/", "potentialAction": [{ "@type": "SearchAction", "target": { "@type": "EntryPoint", "urlTemplate": "https://query.example.com/search?q={search_term_string}" }, "query-input": "required name=search_term_string" },{ "@type": "SearchAction", "target": { "@type": "EntryPoint", "urlTemplate": "android-app://com.example/https/query.example.com/search/?q={search_term_string}" }, "query-input": "required name=search_term_string" }] } </script> </head> <body> </body> </html>
หลักเกณฑ์
คุณต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เหล่านี้จึงจะมีสิทธิ์ปรากฏเป็นผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์
ป้องกันไม่ให้ช่องค้นหาไซต์ลิงก์ปรากฏขึ้นมา
Google Search เลือกที่จะเพิ่มช่องค้นหาไซต์ลิงก์ลงในเว็บไซต์ของคุณได้ แม้ว่าเว็บไซต์จะไม่มีข้อมูลที่มีโครงสร้างที่ระบุไว้ในบทความนี้ อย่างไรก็ตาม คุณป้องกันการทำงานนี้ได้โดยเพิ่มเมตาแท็กต่อไปนี้ลงในหน้าแรก
<meta name="google" content="nositelinkssearchbox" />
คำจำกัดความของประเภทข้อมูลที่มีโครงสร้าง
หากต้องการให้เนื้อหามีสิทธิ์แสดงพร้อมกับช่องค้นหาไซต์ลิงก์ ให้ใส่พร็อพเพอร์ตี้ที่จำเป็นไว้ด้วย
WebSite
ประเภทแก้ไขแล้ว
Google Search ใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้าง WebSite
ประเภทแก้ไขแล้วทั้งสำหรับช่องค้นหาในเว็บไซต์และในแอป ดูคำจำกัดความที่สมบูรณ์ของ WebSite
ได้ที่ schema.org แต่ Google Search จะดัดแปลงจากมาตรฐานเล็กน้อย
พร็อพเพอร์ตี้ที่จำเป็น | |||||
---|---|---|---|---|---|
potentialAction
|
อาร์เรย์ของออบเจ็กต์ SearchAction 1 หรือ 2 รายการ ออบเจ็กต์นี้อธิบายถึง URI ที่ใช้เป็นเป้าหมายในการส่งคำค้นหา และไวยากรณ์ของคำขอที่ส่ง คุณต้องใช้หน้าเว็บหรือเครื่องจัดการ Intent ที่รับคำขอได้และทำการค้นหาที่เหมาะสมเกี่ยวกับสตริงที่ส่ง หากผู้ใช้ไม่ได้ใช้แอป Android (หรือใช้แอป Android แต่ไม่ได้ระบุเป้าหมาย Intent ของ Android) ช่องค้นหาจะส่งคำค้นหาเวอร์ชันเว็บไซต์ไปยังตำแหน่งที่ระบุ หากผู้ใช้ใช้อุปกรณ์ Android และระบุ URI Intent ของ Android ช่องค้นหาจะส่ง Intent ดังกล่าว คุณต้องสร้าง
ตัวอย่างสำหรับเว็บไซต์ ตัวอย่างต่อไปนี้จะส่งคำขอ GET ไปที่ "potentialAction": [{ "@type": "SearchAction", "target": { "@type": "EntryPoint", "urlTemplate": "https://query.example.com/search?q={search_term_string}" } "query-input": "required name=search_term_string" }] ตัวอย่างสำหรับแอป ตัวอย่างต่อไปนี้จะส่ง Intent ของ Android ไปที่
"potentialAction": [{ "@type": "SearchAction", "target": { "@type": "EntryPoint", "urlTemplate": "android-app://com.example/https/query.example.com/search/?q={search_term_string}" } "query-input": "required name=search_term_string" }] |
||||
potentialAction.query-input
|
ใช้สตริงตามตัวอักษร "potentialAction": [{ "@type": "SearchAction", "target": { "@type": "EntryPoint", "urlTemplate": "https://query.example.com/search?q={search-term}" } "query-input": "required name=search-term" }] |
||||
potentialAction.target
|
ออบเจ็กต์
เช่น https://query.example.com/search?q={search_term_string}
|
||||
url
|
ระบุ URL ของเว็บไซต์ที่ค้นหา ตั้งค่าหน้าแรก Canonical ของเว็บไซต์ เช่น |
ตรวจสอบผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ด้วย Search Console
Search Console เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตรวจสอบประสิทธิภาพของหน้าเว็บใน Google Search คุณไม่จำเป็นต้องลงชื่อสมัครใช้ Search Console เพื่อให้เนื้อหาได้แสดงในผลการค้นหาของ Google แต่การลงชื่อสมัครใช้จะช่วยให้คุณเข้าใจและปรับปรุงวิธีที่ Google เห็นเว็บไซต์ได้ เราขอแนะนำให้ไปดูข้อมูลใน Search Console ในกรณีต่อไปนี้
- หลังจากทำให้ข้อมูลที่มีโครงสร้างใช้งานได้เป็นครั้งแรก
- หลังจากเผยแพร่เทมเพลตใหม่หรืออัปเดตโค้ด
- วิเคราะห์การเข้าชมเป็นระยะ
หลังจากทำให้ข้อมูลที่มีโครงสร้างใช้งานได้เป็นครั้งแรก
หลังจากที่ Google ได้จัดทำดัชนีหน้าของคุณแล้ว ให้ตรวจหาปัญหาโดยใช้รายงานสถานะผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตามหลักแล้วหน้าที่ถูกต้องจะมีจำนวนมากขึ้น และข้อผิดพลาดหรือคำเตือนไม่เพิ่มขึ้น หากพบปัญหาในข้อมูลที่มีโครงสร้าง ให้ทำดังนี้
- แก้ไขข้อผิดพลาด
- ตรวจสอบ URL ที่เผยแพร่เพื่อดูว่ายังมีปัญหาอยู่หรือไม่
- ขอการตรวจสอบโดยใช้รายงานสถานะ
หลังจากเผยแพร่เทมเพลตใหม่หรืออัปเดตโค้ด
เมื่อทำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในเว็บไซต์ ให้คอยตรวจดูว่ามีข้อผิดพลาดและคำเตือนเกี่ยวกับข้อมูลที่มีโครงสร้างเพิ่มขึ้นไหม- หากเห็นว่ามีข้อผิดพลาดเพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะคุณเผยแพร่เทมเพลตใหม่ที่ใช้งานไม่ได้ หรือเว็บไซต์โต้ตอบกับเทมเพลตที่มีอยู่ด้วยวิธีใหม่และไม่ถูกต้อง
- หากเห็นว่ารายการที่ถูกต้องลดลง (ไม่สอดคล้องกับข้อผิดพลาดที่เพิ่มขึ้น) อาจเป็นเพราะคุณไม่ได้ฝังข้อมูลที่มีโครงสร้างไว้ในหน้าแล้ว ให้ใช้เครื่องมือตรวจสอบ URL เพื่อดูสาเหตุของปัญหา
วิเคราะห์การเข้าชมเป็นระยะ
วิเคราะห์การเข้าชมจาก Google Search โดยใช้รายงานประสิทธิภาพ ข้อมูลจะแสดงความถี่ที่หน้าปรากฏเป็นผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ใน Search ความถี่ที่ผู้ใช้คลิกหน้า และอันดับเฉลี่ยที่หน้าปรากฏในผลการค้นหา หรือคุณจะดึงผลลัพธ์เหล่านี้โดยอัตโนมัติโดยใช้ Search Console API ก็ได้เช่นกันการแก้ปัญหา
หากประสบปัญหาในการใช้หรือแก้ไขข้อบกพร่องของข้อมูลที่มีโครงสร้าง โปรดดูแหล่งข้อมูลต่อไปนี้ซึ่งอาจช่วยคุณได้
- ข้อมูลที่มีโครงสร้างของคุณอาจมีข้อผิดพลาดอยู่ ให้ตรวจสอบรายการข้อผิดพลาดของข้อมูลที่มีโครงสร้าง
- หากมีการดำเนินการกับข้อมูลที่มีโครงสร้างโดยเจ้าหน้าที่ในหน้าของคุณ ระบบจะไม่สนใจข้อมูลที่มีโครงสร้างในหน้าดังกล่าว (แม้ว่าหน้าจะยังปรากฏในผลการค้นหาของ Google Search ก็ตาม) วิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลที่มีโครงสร้างคือใช้รายงานการดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่
- อ่านหลักเกณฑ์อีกครั้งเพื่อดูว่าเนื้อหาของคุณละเมิดหลักเกณฑ์หรือไม่
- แก้ปัญหาเกี่ยวกับผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ขาดหายไป/จำนวนรวมของผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ลดลง
- ดูคำถามทั่วไปเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลและการจัดทำดัชนีได้ในคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลและการจัดทำดัชนีของ Google Search
- ถามคำถามในเวลาทำการของ Google Search Central
- โพสต์คำถามในฟอรัม Google Search Central