ระบุชื่อเว็บไซต์ให้กับ Google Search

เมื่อ Google แสดงหน้าหนึ่งๆ ในผลการค้นหา จะแสดงชื่อของเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งที่มาของหน้าดังกล่าว ฟีเจอร์นี้เรียกว่าชื่อเว็บไซต์ โปรดทราบว่าชื่อเว็บไซต์แตกต่างกับลิงก์ Title ในแต่ละหน้า (ลิงก์ Title เป็นลิงก์เฉพาะสำหรับแต่ละหน้าเว็บ แต่ชื่อเว็บไซต์จะใช้กับทั้งเว็บไซต์)

ภาพประกอบแสดงผลการค้นหาเว็บใน Google Search ที่มีกรอบไฮไลต์รอบส่วนชื่อเว็บไซต์

ความพร้อมใช้งานของฟีเจอร์

ระบบจะแสดงชื่อเว็บไซต์ในทุกภาษาที่ใช้งาน Google Search ได้ ทั้งในอุปกรณ์เคลื่อนที่และเดสก์ท็อป ชื่อเว็บไซต์จะปรากฏในเว็บไซต์ระดับโดเมนและโดเมนย่อยได้ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมในหลักเกณฑ์ทางเทคนิค)

วิธีสร้างชื่อเว็บไซต์ใน Google Search

การสร้างชื่อเว็บไซต์ของ Google ในหน้าผลการค้นหาของ Google จะเป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด โดยคํานึงถึงเนื้อหาจากเว็บไซต์และการอ้างอิงเว็บไซต์ซึ่งปรากฏในเว็บ เป้าหมายของการใช้ชื่อเว็บไซต์ใน Google Search คือเพื่อนำเสนอและอธิบายแหล่งที่มาของผลการค้นหาแต่ละรายการให้ดีที่สุด

หากต้องการระบุค่ากำหนดชื่อเว็บไซต์ ให้เพิ่ม Structured Data WebSite ลงในหน้าแรก ระบบชื่อเว็บไซต์จะพิจารณาเนื้อหาใน og:site_name, <title>, องค์ประกอบส่วนหัว และข้อความอื่นๆ ในหน้าแรกด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีโครงสร้าง WebSite มีความสําคัญมากที่สุด หากคุณต้องการระบุชื่อที่ต้องการ

แม้ว่าเราจะเปลี่ยนชื่อเว็บไซต์ที่เลือกโดยอัตโนมัติไม่ได้ แต่คุณระบุชื่อทางเลือกสําหรับให้ระบบอัตโนมัติพิจารณาหากไม่ได้เลือกชื่อหลักที่คุณต้องการ

การเลือกชื่อเว็บไซต์ของคุณ

  • เลือกชื่อที่ไม่ซ้ำกันซึ่งแสดงถึงตัวตนของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้องและไม่ทําให้ผู้ใช้เข้าใจผิด ชื่อที่คุณเลือกต้องเป็นไปตามนโยบายเนื้อหาของ Search
  • ใช้ชื่อที่สั้นและเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปสำหรับเว็บไซต์ (เช่น "Google" แทนที่จะเป็น "Google, Inc") แม้จะไม่มีการจํากัดความยาวของชื่อเว็บไซต์ แต่อุปกรณ์บางรุ่นอาจตัดชื่อของเว็บไซต์ที่ยาวให้สั้นลง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อทั่วไป ชื่อทั่วไป เช่น "หมอฟันที่ดีที่สุดในไอโอวา" มักจะไม่ถูกเลือกเป็นชื่อเว็บไซต์ เว้นแต่ว่าชื่อนั้นเป็นชื่อแบรนด์ที่รู้จักกันดีมาก
  • ใช้ชื่อเว็บไซต์อย่างสอดคล้องกันในหน้าแรก โปรดตรวจสอบว่าชื่อที่ใช้เป็นชื่อเว็บไซต์ใน Structured Data สอดคล้องกับที่คุณอ้างถึงเว็บไซต์ของคุณในแหล่งข้อมูลอื่นๆ ในหน้าแรกที่ระบบของเราใช้พิจารณา
  • ระบุชื่อสำรอง แม้ว่าระบบชื่อเว็บไซต์ของเราจะพยายามใช้ชื่อเว็บไซต์ที่คุณต้องการ แต่บางครั้งอาจใช้ชื่อนั้นไม่ได้ ตัวอย่างเช่น โดยทั่วไป ระบบของเราจะไม่ใช้ชื่อเว็บไซต์ซ้ำกันสําหรับเว็บไซต์ 2 แห่งที่มีลักษณะร่วม ในกรณีอื่นๆ ระบบของเราอาจระบุได้ทั่วไปว่าตัวย่อของเว็บไซต์หนึ่งๆ เป็นชื่อย่อมากกว่าชื่อเต็ม การระบุชื่อสำรองโดยใช้พร็อพเพอร์ตี้ alternateName ช่วยให้ Google พิจารณาตัวเลือกอื่นได้ หากไม่ได้เลือกชื่อที่คุณต้องการ

วิธีเพิ่มชื่อเว็บไซต์ด้วย Structured Data

Structured Data คือรูปแบบมาตรฐานในการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหน้าและจำแนกประเภทเนื้อหาของหน้า หากคุณเพิ่งใช้ Structured Data เป็นครั้งแรก โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทำงานของ Structured Data

ส่วนนี้จะอธิบายหลักเกณฑ์ทางเทคนิค พร็อพเพอร์ตี้ที่จำเป็น และวิธีเพิ่มและทดสอบ Structured Data ชื่อเว็บไซต์ ดูคำแนะนำทีละขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีเพิ่ม Structured Data ลงในหน้าเว็บได้ใน Codelab สำหรับ Structured Data

ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์

เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจชื่อเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น โปรดตรวจสอบว่าคุณได้ทําตาม Search Essentials, หลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับ Structured Data, หลักเกณฑ์สําหรับการเลือกชื่อเว็บไซต์ และหลักเกณฑ์ทางเทคนิคต่อไปนี้

หลักเกณฑ์ทางเทคนิค

  • 1 ชื่อต่อเว็บไซต์เท่านั้น: ปัจจุบัน Google Search รองรับเพียง 1 ชื่อเว็บไซต์ต่อเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์จะกำหนดจากโดเมนหรือโดเมนย่อย Google Search ไม่รองรับชื่อเว็บไซต์ในระดับไดเรกทอรีย่อย โปรดทราบว่าโดยทั่วไปแล้ว ชื่อโดเมนย่อยที่ขึ้นต้นด้วย www หรือ m จะถือว่าเทียบเท่ากัน
    รองรับ: https://example.com (ถือเป็นหน้าแรกระดับโดเมน)
    รองรับ: https://www.example.com (ถือเป็นหน้าแรกระดับโดเมนด้วย)
    รองรับ: https://m.example.com (ถือเป็นหน้าแรกระดับโดเมนด้วย)
    รองรับ: https://news.example.com (ถือเป็นหน้าแรกระดับโดเมนย่อย)
    ไม่รองรับ: https://example.com/news (ถือเป็นหน้าแรกระดับไดเรกทอรีย่อย)
  • Structured Data ต้องอยู่ในหน้าแรกของเว็บไซต์: Structured Data WebSite ต้องอยู่ในหน้าแรกของเว็บไซต์ หน้าแรกในที่นี้หมายถึง URI รากที่ระดับโดเมนหรือโดเมนย่อย ตัวอย่างเช่น https://example.com เป็นหน้าแรกของโดเมน ส่วน https://example.com/de/index.html ไม่ใช่หน้าแรก
  • Google ต้องทำการ Crawl หน้าแรกได้: หากเราไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาในหน้าแรกของคุณเนื่องจากมีการบล็อก เราอาจสร้างชื่อเว็บไซต์ไม่ได้
  • สําหรับเว็บไซต์ที่มีหน้าแรกซ้ำกัน: หากคุณมีหน้าแรกที่ซ้ำกันสําหรับเนื้อหาเดียวกัน (เช่น หน้าแรกเวอร์ชัน HTTP และ HTTPS หรือ www และที่ไม่ใช่ www) ให้ตรวจสอบว่าใช้ Structured Data เดียวกันในหน้าที่ซ้ำกันทั้งหมด ไม่ใช่แค่ในหน้า Canonical
  • สําหรับเว็บไซต์ที่ใช้ Structured Data ของช่องค้นหาไซต์ลิงก์ หากคุณติดตั้ง Structured Data WebSite สําหรับ ฟีเจอร์ช่องค้นหาไซต์ลิงก์ ให้ตรวจสอบว่าได้ฝังพร็อพเพอร์ตี้ชื่อเว็บไซต์ไว้ในโหนดเดียวกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ให้หลีกเลี่ยงการสร้างแถว Structured Data WebSite เพิ่มเติมในหน้าแรก หากคุณทำได้ ตัวอย่างเช่น Structured Data WebSite สำหรับทั้งชื่อเว็บไซต์และช่องค้นหาไซต์ลิงก์ควรจะมีลักษณะดังนี้
    <html>
      <head>
        <title>Example: A Site about Examples</title>
        <script type="application/ld+json">
        {
          "@context" : "https://schema.org",
          "@type" : "WebSite",
          "name" : "Example Company",
          "alternateName" : "EC",
          "url" : "https://example.com/",
          "potentialAction": {
            "@type": "SearchAction",
            "target": {
              "@type": "EntryPoint",
              "urlTemplate": "https://query.example.com/search?q={search_term_string}"
            },
            "query-input": "required name=search_term_string"
          }
        }
      </script>
      </head>
      <body>
      </body>
    </html>

เพิ่มพร็อพเพอร์ตี้ชื่อไซต์ที่จําเป็น

เพิ่มพร็อพเพอร์ตี้ที่จำเป็นลงในหน้าแรกของเว็บไซต์ โดยอยู่ในรูปแบบ JSON-LD, RDFa หรือ Microdata คุณไม่ต้องใส่มาร์กอัปนี้ในทุกๆ หน้าของเว็บไซต์ เพียงแค่เพิ่มลงในหน้าแรกของเว็บไซต์เท่านั้น

พร็อพเพอร์ตี้ที่จำเป็น
name

Text

ชื่อของเว็บไซต์ ตรวจสอบว่าชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์การเลือกชื่อเว็บไซต์

url

URL

URL หน้าแรกของเว็บไซต์ ตั้งค่า URL นี้เป็นหน้าแรกของหน้า Canonical ของโดเมนหรือโดเมนย่อยของเว็บไซต์ เช่น https://example.com/ หรือ https://news.example.com/

นี่คือตัวอย่าง Structured Data WebSite ซึ่งมีฟิลด์ที่ต้องระบุ

JSON-LD

<html>
  <head>
    <title>Example: A Site about Examples</title>
    <script type="application/ld+json">
    {
      "@context" : "https://schema.org",
      "@type" : "WebSite",
      "name" : "Example",
      "url" : "https://example.com/"
    }
  </script>
  </head>
  <body>
  </body>
</html>

Microdata

<html>
  <head>
    <title>Example: A Site about Examples</title>
  </head>
  <body>
  <div itemscope itemtype="https://schema.org/WebSite">
    <meta itemprop="url" content="https://example.com/"/>
    <meta itemprop="name" content="Example"/>
  </div>
  </body>
</html>
          

เพิ่มชื่อเว็บไซต์สำรอง

หากคุณต้องการระบุชื่อเว็บไซต์ที่เป็นเวอร์ชันทางเลือก (เช่น อักษรย่อหรือชื่อแบบย่อ) ก็ทำได้โดยเพิ่มพร็อพเพอร์ตี้ alternateName ซึ่งการดำเนินการนี้ไม่ได้บังคับแต่อย่างใด

พร็อพเพอร์ตี้ที่แนะนำ
alternateName

Text

ชื่อทางเลือกของเว็บไซต์ (เช่น อักษรย่อที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป หรือชื่อเว็บไซต์แบบสั้น) หากมี ตรวจสอบว่าชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์การเลือกชื่อเว็บไซต์

คุณสามารถระบุชื่อสำรองได้มากกว่าหนึ่งชื่อ ให้ระบุตามลําดับที่ต้องการ โดยใส่ชื่อที่สําคัญที่สุดก่อน เช่น

<script type="application/ld+json">
  {
    "@context": "https://schema.org",
    "@type": "WebSite",
    "name": "Burnt Toast",
    "alternateName": ["BT", "B-T", "Burnt Toast Shop"],
    "url": "https://www.example.com/"
  }
</script>

นี่คือตัวอย่าง Structured Data WebSite ซึ่งมีฟิลด์ที่จำเป็นและฟิลด์ที่แนะนําทั้งหมด

JSON-LD

<html>
  <head>
    <title>Example: A Site about Examples</title>
    <script type="application/ld+json">
    {
      "@context" : "https://schema.org",
      "@type" : "WebSite",
      "name" : "Example Company",
      "alternateName" : "EC",
      "url" : "https://example.com/"
    }
  </script>
  </head>
  <body>
  </body>
</html>

Microdata

<html>
  <head>
    <title>Example: A Site about Examples</title>
  </head>
  <body>
  <div itemscope itemtype="https://schema.org/WebSite">
    <meta itemprop="url" content="https://example.com/"/>
    <meta itemprop="name" content="Example Company"/>
    <meta itemprop="alternateName" content="EC"/>
  </div>
  </body>
</html>

ทดสอบ Structured Data

ใช้เครื่องมือตรวจสอบ URL เพื่อทดสอบว่า Google เห็นหน้าเว็บอย่างไร ตรวจสอบว่า Google เข้าถึงหน้าแรกได้ และไม่มีการบล็อกหน้าแรกด้วยไฟล์ robots.txt, noindex หรือข้อกำหนดให้เข้าสู่ระบบ หากหน้าเว็บดูถูกต้องดีแล้ว ก็ขอให้ Google ทำการ Crawl URL อีกครั้งได้

สิ่งที่ควรทําหากระบบไม่ได้เลือกชื่อเว็บไซต์ที่คุณต้องการ

โดยปกติระบบของเราพยายามใช้ชื่อเว็บไซต์ที่คุณต้องการจาก Structured Data WebSite เมื่อมีการระบุไว้ อย่างไรก็ตาม หากระบบของเราไม่ค่อยมั่นใจในชื่อที่คุณระบุไว้ บางครั้งระบบอาจสร้างชื่อเว็บไซต์โดยใช้แหล่งข้อมูลอื่นๆ หรือแสดงชื่อโดเมนหรือโดเมนย่อย

หากระบบไม่เลือกชื่อเว็บไซต์ที่คุณต้องการ ให้ลองทําตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. โปรดตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้
    • ชื่อเว็บไซต์ที่อยู่ใน Structured Data WebSite ในหน้าแรกเป็นชื่อเว็บไซต์ที่คุณที่ต้องการ
    • Structured Data WebSite ไม่มีข้อผิดพลาดของ Structured Data
    • Structured Data เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของเรา
    • ตรวจสอบว่าแหล่งข้อมูลอื่นๆ ในหน้าแรกใช้ชื่อที่คุณต้องการสำหรับเว็บไซต์ด้วยเช่นกัน
    • ตรวจสอบว่าคุณไม่ได้พยายามตั้งชื่อเว็บไซต์สําหรับไดเรกทอรีย่อย เราไม่รองรับชื่อเว็บไซต์สําหรับไดเรกทอรีย่อย (เช่น https://example.com/news เป็นหน้าแรกระดับไดเรกทอรีย่อยและไม่สามารถมีชื่อเว็บไซต์ของตัวเอง) ดูข้อมูลเพิ่มเติมในคําแนะนําทางเทคนิค
  2. ตรวจสอบว่าการเปลี่ยนเส้นทางทํางานตามที่ต้องการ และ Googlebot เข้าถึงหน้าเป้าหมายการเปลี่ยนเส้นทางได้ จากนั้นขอให้ทําการ Crawl หน้านั้นอีกครั้ง หากหน้าเว็บเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าที่ Googlebot มองเห็น ชื่อเว็บไซต์จะแสดงถึงเป้าหมายการเปลี่ยนเส้นทาง
  3. หากคุณมีเว็บไซต์หลายเวอร์ชัน (เช่น มีเวอร์ชัน HTTP และ HTTPS) ให้ตรวจสอบว่าได้ใช้ชื่อเว็บไซต์เดียวกันทั้งสองเวอร์ชัน
  4. หากอัปเดต Structured Data สําหรับชื่อเว็บไซต์แล้ว โปรดให้เวลา Google ทำการ Crawl และประมวลผลข้อมูลใหม่อีกครั้ง โปรดทราบว่าการ Crawl อาจใช้เวลาตั้งแต่หลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความถี่ที่ระบบพิจารณาว่าจําเป็นต้องรีเฟรชเนื้อหา คุณขอให้ทำการ Crawl หน้าอีกครั้งได้โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบ URL

หากทําตามคําแนะนําข้างต้นแล้ว แต่ระบบยังคงไม่เลือกชื่อเว็บไซต์ที่คุณต้องการ ให้ลองพิจารณาหนึ่งในตัวเลือกต่อไปนี้

  1. ก่อนอื่น ลองระบุชื่อสํารองโดยใช้พร็อพเพอร์ตี้ alternateName หากระบบชื่อเว็บไซต์ของเราไม่มั่นใจที่จะใช้ชื่อที่คุณต้องการ ระบบก็พิจารณาตัวเลือกนี้ก่อน
  2. ระบุชื่อโดเมนหรือโดเมนย่อยเป็นตัวเลือกสํารอง หากต้องการให้โดเมนหรือโดเมนย่อยเป็นตัวเลือกสํารอง ให้เพิ่มชื่อโดเมนหรือโดเมนย่อยเป็นชื่อสํารอง โดเมนหรือโดเมนย่อยต้องเป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด (เช่น example.com ไม่ใช่ Example.com) เพื่อให้ระบบตรวจพบว่านี่เป็นชื่อเว็บไซต์ที่ต้องการ ระบบจะพิจารณาใช้ชื่อนี้ก่อนหากไม่ได้เลือกใช้ชื่อที่คุณต้องการ ในตัวอย่างนี้ Burnt Toast เป็นตัวเลือกที่ต้องการมากที่สุด ตามด้วย BT, and ending with the domain example.com as the final name preference:
    <script type="application/ld+json">
      {
        "@context": "https://schema.org",
        "@type": "WebSite",
        "name": "Burnt Toast",
        "alternateName": ["BT", "B-T", "Burnt Toast Shop", "example.com"],
        "url": "https://www.example.com/"
      }
    </script>
  3. หากยังไม่ได้ผล ให้ลองระบุชื่อโดเมนหรือโดเมนย่อย (เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด) เป็นชื่อที่ต้องการ ซึ่งนี่เป็นตัวเลือกสุดท้ายในการแก้ไขปัญหา หากคุณระบุชื่อโดเมนหรือโดเมนย่อยเป็นชื่อที่ต้องการ โดยทั่วไปแล้วระบบจะเลือกชื่อโดเมนนั้น (แต่เราขอแนะนําให้ใช้วิธีนี้เป็นวิธีสุดท้ายเท่านั้น) ในตัวอย่างนี้ ชื่อที่ต้องการเพียงชื่อเดียวคือโดเมน example.com:
    <script type="application/ld+json">
      {
        "@context": "https://schema.org",
        "@type": "WebSite",
        "name": "example.com",
        "url": "https://www.example.com/"
      }
    </script>

หากลองทําตามขั้นตอนการแก้ปัญหาข้างต้นแล้วแต่ยังคงพบปัญหาอยู่ ให้โพสต์ในชุมชนความช่วยเหลือของ Google Search Central ซึ่งจะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งที่น่าจะต้องปรับปรุงในระบบของเรา